เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒๑

๓๑ พ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ ก่อนจะลงอุโบสถนะ ต้องสัมโมทนียกถาพักหนึ่งเพื่อฟังความข่มของหัวใจ วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา วันนี้เป็นวันเกิดของศาสนา เกิด ๒ ชั้น เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กับเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เห็นไหม เป็นภูเขาทอง แล้วเราเป็นภิกษุผู้บวชในศาสนา เป็นอีกาเกาะภูเขาทอง เพราะอะไร เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สร้างสมมาเป็นหลักเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเราชาวพุทธ แล้วเรามีความศรัทธาความเชื่อบวชในศาสนา

ถ้าบวชในศาสนาแล้วเห็นไหม เราจะทำอย่างไรให้เรามีจุดยืนของเราไง ถ้าไม่มีจุดยืน เหมือนกับอีกาเกาะภูเขาทองนะ เวลาห่มผ้าเข้าไปแล้วเห็นไหม จตุตถกรรมเป็นภิกษุขึ้นมา เขาเคารพบูชา เป็นนักรบ เป็นผู้บุกเบิก เป็นนักบวชในศาสนาเห็นไหม ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์

สิ่งที่เป็นผ้ากาสาวพัสตร์เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหามานะ ไม่ใช่ค้นหาตั้งแต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะสมมาตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์เห็นไหม สละชีวิตนะ สละฐาน สละทุกอย่างเพื่อปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาแล้วยังไม่สมความปรารถนา

มีผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเลย แล้วไปไม่ถึงเป้าหมายเห็นไหม ไประหว่างทางกลับก็มี ปล่อยไว้อย่างนั้นก็มี แต่ไปถึงที่สุดมีเท่าไหร่ ขนาดปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังเป็นการปรารถนาแล้วสะสมไป

เวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม เวลาเกิดมา เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่เกิดวันนี้ แต่เป็นเมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วเห็นไหม เราเกิดมานะ เราจะเกิดมาเป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกบวชนะ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดครั้งแรกเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

แล้วเกิดมายังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนะ อยู่ในคฤหัสถ์ ยังมีครอบครัว ยังมีสามเณรราหุล แล้วเห็นยมทูตเห็นไหม สิ่งที่ว่าเป็นสะเทือนใจ เพราะอะไร เพราะการสร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ การสร้างมาเป็นบุญญาธิการ ถ้าบุญญาธิการสร้างมาอย่างนี้ ว่าสรรพสิ่งมันเป็นธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ

ถ้าผู้ที่ใจเป็นธรรมเห็นสิ่งต่างๆ ที่มันสะเทือนหัวใจสะเทือนกิเลส จะเป็นประโยชน์หมดเลย แต่ถ้าเป็นคนหยาบเห็นไหม เห็นอะไรมันเป็นเรื่องของเขา เห็นแต่ประโยชน์ของตัว เอาประโยชน์ของตัวเป็นที่ตั้ง เห็นอย่างไรก็ไม่สะเทือนใจ แต่เจ้าชายสิทธัตถะขณะที่เกิดที่สวนลุมพินีเห็นไหม “เราจะเกิดเป็นชาติสุดท้าย ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีก” ทั้งๆ ที่ยังมีกิเลสนะ เพราะยังไม่ได้ออกบวช เพราะยังไม่ได้สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังประกาศตนเลยว่าชาตินี้ชาติสุดท้าย

แต่ชาติสุดท้ายก็ยังมีความทุกข์ระทมในหัวใจเห็นไหม ดูสิวันที่จะออกบวช ละล้าละลังเห็นไหม สามเณรราหุลคลอดแล้วเห็นไหม บุตรคลอดแล้ว ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกนะ ดูสิเวลาเป็นพระเวสสันดร เวลาจะบริจาคกัญหาและชาลีให้กับชูชก ด้วยความเจ็บปวดในหัวใจนะ ละล้าละลังนะ ถ้าให้ไปนางมัทรีกลับมาแล้วไม่เห็นบุตร จะต้องมีความทุกข์ยากมาก วางแผนในหัวใจนะ ให้ไปนะ ให้กัญหาชาลีไปกับชูชก ชูชกตีต่อหน้ามันก็สะเทือนหัวใจจนลืมตัว จนมือจับพระขันธ์จะชักเลยนะ แต่สติตามมาว่า “เราให้เขาแล้ว เราให้เขาแล้ว เขาจะทำสะเทือนใจขนาดไหนก็ต้องให้เขาไป” เห็นไหม แล้วถ้านางมัทรีกลับมาจะไม่เห็นกัญหาชาลี จะมีความทุกข์ขนาดไหน?

ก็ต้องวางแผนว่าถ้านางมัทรีกลับมาเห็นไหม ดุก่อนนะ “ไปตั้งแต่เช้า ไปทำอะไรมา เก็บของมานะ มาช้า” เห็นไหม ดุก่อน ดุเพื่อจะไม่ให้ถามหากัญหาชีไง วางแผนทุกๆอย่างเพื่อประดับโพธิญาณเห็นไหม แล้วเวลาจะออกบวชเห็นไหม สามเณรราหุลเกิดแล้ว เกิดมาขนาดที่ว่าจะเกิดเป็นชาติสุดท้าย ก็ยังเกิดมาแล้วกว่าจะพลัดพราก กว่าจะจากออกไปเพื่อจะค้นหาเห็นไหม

ค้นหาสิ่งที่เกิดสิ่งที่เป็นโพธิญาณ สิ่งที่เกิดธรรม สิ่งที่ว่าธรรมๆ ค้นหาที่ไหน? จนสะเทือนใจออกบวชเห็นไหม ไม่เข้าไปดูออกบวชเลย ออกเลยออกค้นคว้าอยู่ ๖ ปี

วันวิสาขบูชา เราบอกว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา เรานะอีกามันเกาะภูเขาทอง เกิดมาในศาสนา มาบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ปฏิบัติไหม? ได้ค้นคว้าไหม? สิ่งนี้เป็นผลบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ให้เราได้อาศัย

ธรรมและวินัยที่ให้เราอยู่สุขสบายอยู่ทุกวันนี้เห็นไหม เช้าขึ้นมาออกบิณฑบาตต้องมีข้าวตกบาตรแน่นอน เขามีศรัทธามีความเชื่อ เขาเชื่อในศาสนา เขาต้องมีอุปัฏฐากอุปถัมภ์ แล้วเราเป็นนักรบเราเป็นนักบวชเห็นไหม

อีกา มันเกาะภูเขาทอง มันสะเทือนใจบ้างไหมล่ะ เวลาเขาใส่บาตรเห็นไหม สิ่งที่เขาได้มา เขาได้มาอย่างไร เขาหาของเขามา เขาได้ห้าได้สิบเห็นไหม เขาต้องทำมาหากินของเขามา เขามีศรัทธามีความเชื่อ เขามาสละออกไปของเขา เขามาทำทานของเขา เราบิณฑบาตของเขามา แล้วเราทำประโยชน์อะไรให้กับเขาบ้าง? เราทำประโยชน์กับตัวเราไหม? เราทำประโยชน์กับตัวเขาไหม สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เห็นไหมเลี้ยงปากด้วยอาหาร ด้วยปัจจัย ๔

แล้วหัวใจล่ะ? หัวใจมันเป็นธรรมขึ้นมาไหมล่ะ? ถ้ามันเป็นธรรม นี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ เห็นไหม “มารเอย ถ้าเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเรายังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของเจ้าลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน” แล้ววางธรรมวินัยไว้เผยแผ่อยู่ ๔๕ ปี ตั้งแต่พระกัสสปะ พระอานนท์ต่างๆ พระอุบาลี จะสืบต่อศาสนาไปเห็นไหม

“มารเอย อีก ๓ เดือนข้างหน้าวันมาฆบูชา เราจะปรินิพพาน”

เราบวชมาในศาสนา ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กล่าวแก้คำจาบจ้วง ให้กล่าวแก้คนที่เขาติฉินนินทาในศาสนา ในศาสนานะ ศาสนาคืออะไร? แล้วเราเป็นอีกา เราไปเกาะภูเขาทอง ศาสนานี้ให้เราร่มเย็นเป็นสุข แล้วเราปกป้องศาสนาอย่างไรกันบ้าง? เราทำอะไรในศาสนา นี่แค่ปกป้องศาสนานะ

แล้วถ้าเราเป็นศาสนาล่ะ? ศาสนามันเกิดมาจากไหนล่ะ? ก็เกิดมาจากหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม เป็นธรรมขึ้นมา ธรรมความจำอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นธรรมวินัยอย่างหนึ่ง มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่วางไว้เป็นธรรมเป็นสัญญา เป็นเครื่องหมาย เป็นวิชาการ แล้วให้เราศึกษาไง มันเป็นภูเขาทองจริงๆ

ทองคำเห็นไหม เป็นภูเขาทองคำเลย แต่อีกามันไม่รู้จักใช้ มันไปเกาะภูเขาทองแล้วมันขี้รดภูเขาทอง มันถ่ายรดภูเขาทองเห็นไหม เกิดมาในศาสนา วันสำคัญทางศาสนา แล้วเราสำคัญไหมล่ะ? มันมีอะไรสำคัญในหัวใจเราล่ะ?

ในวงการแพทย์ เขาว่าสมองเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย หัวใจเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย แล้วถ้ามันไม่มีผิวหนังหุ้มล่ะ มันไม่มีขุมขนให้ระบายเหงื่อล่ะ มันอยู่ได้ไหมล่ะ มันอยู่ไม่ได้หรอก มันก็ต้องมีทุกสิ่งส่วนในร่างกายมีความสำคัญทุกๆ ส่วน แต่ความสำคัญของอะไร ความสำคัญของเขาเห็นไหม ความสำคัญหน้าที่ของเขา เขาทำหน้าที่ของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในสังฆะ ในสังฆะสำคัญอย่างไร? ในหมู่คณะสำคัญอย่างไร? ในตัวเราเองสำคัญอย่างไร? ถ้าไม่เห็นความสำคัญของทุกๆ ส่วนของสังฆะเห็นไหม ศาสนามันจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าศาสนาร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม สิ่งที่ร่มเย็นเป็นสุขมันก็ทำให้เราร่มเย็นเป็นสุข ทำให้เราประพฤติปฏิบัติได้ง่าย

วันสำคัญทางศาสนา สำคัญที่ไหน? สำคัญที่ธรรมวินัย เคารพครูบาอาจารย์เห็นไหม เคารพธรรมและวินัยก่อน เคารพธรรมวินัย วินัยคืออะไร? เห็นไหม ครูบาอาจารย์ อาวุโส ภันเต เวลาเจอผู้อาวุโสที่บวชในศาสนาก่อนเรา เราเคารพเราก็กราบ ถ้าเราไม่เคารพล่ะ? เพราะว่าการบวช บวชมามันอยู่ที่อำนาจวาสนา มันอยู่ที่จริตนิสัย ถ้ามันอาวุโสแต่ไม่มีวุฒิภาวะอะไรเลย อาวุโสเฉยๆ อย่างนี้ มันจะกราบได้อย่างไร แต่มันก็ต้องกราบ เพราะไม่ได้กราบอาวุโสนั้น ไม่ได้กราบบุคคลคนนั้น แต่กราบธรรมวินัยไง อาวุโส ภันเต เราเคารพธรรมวินัย ในเมื่อกฎหมายบังคับไว้อย่างนี้ เราก็เชื่อฟังกฎหมาย เราเชื่อฟังธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร ก็มันเป็นความร่มเย็นเป็นสุขในศาสนา

ในศาสนานะ ธรรมคือการไม่กระทบกระเทือนกัน ธรรมคือความสงบร่มเย็นเห็นไหม ความสงบร่มเย็น แต่ความปลีกย่อย ความปลีกย่อยทางปัญญา ความปลีกย่อยของความถนัดของแต่ละบุคคล ความถนัดของมือ ความถนัดของเท้า ความถนัดของสมอง ความถนัดของการจรรโลงในเส้นเลือดต่างๆ ที่มันเข้าไปเลี้ยงร่างกาย หน้าที่แต่ละส่วนของอวัยวะทำงานแตกต่างกัน

นี่ก็เหมือนกัน หน้าที่ในสังฆะ ในของสงฆ์เรา มันทำต่างๆ กัน นี่หน้าที่จากธรรมและวินัยนะ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” แล้วเห็นหรือยังล่ะ? มันก็เป็นอีกาเกาะภูเขาทองอยู่อย่างนั้น

ความสำคัญของศาสนา “ใช่” มันสำคัญต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำคัญอย่างนี้ ขนาดที่ว่าถ้าไม่มีอาสวักขยญาณ ไม่สามารถเย้ยมารได้ เย้ยมารนะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีก เจ้าจะเกิดจากหัวใจของเราไม่ได้เลย” เห็นไหม

มารเกิดจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เยาะเย้ยมารได้เลย แต่เราอยู่ในใต้พญามาร เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา เวลามันเอาตัวรอดไม่ได้ มารทั้งนั้น มารมันเหยียบย่ำหัวใจ ประพฤติปฏิบัติไปเดี๋ยวก็นั่งคอตกเห็นไหม อดนอนผ่อนอาหารขึ้นไป เดี๋ยวก็เบื่อหน่าย เดี๋ยวก็ท้อแท้ เดี๋ยวก็อ่อนแอ

ความท้อแท้อ่อนแอมันมาจากไหนล่ะ? ความท้อแท้อ่อนแอก็มาจากหัวใจของเรานะ จากกิเลสของเรา กิเลสของเราเห็นไหม แล้วว่ามันสำคัญ สำคัญอย่างไร ถ้าสำคัญทำไมมันจับเจ่า มันเศร้าสร้อยอย่างนี้ล่ะ มันสำคัญหรือ นี่มันยอมจำนนนะ ยอมจำนนกับกิเลส

มันเป็นวันสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่วันสำคัญของเราเลย ถ้าเป็นวันสำคัญของเรานะ เราวิปัสสนาของเรา เราทำใจของเราขึ้นมาให้ได้เห็นไหม อาศัยสิ่งนี้ไปก่อน ดูเราโตมาอาศัยพ่อแม่มา เกิดมา เกิดมาจากไหน เกิดมาจากครรภ์ของมารดา แล้วเกิดมาเติบโตพ่อแม่เลี้ยงดูมา แล้วเราเกิดมาเราเลี้ยงดูเรามา เราเติบโตมา เรามีการหาอยู่หากินมา เราจะเลี้ยงพ่อแม่ของเราไปได้ไหม ถ้าเราเลี้ยงพ่อแม่ของเราได้ เรามีครอบครัวของเรา เราก็เลี้ยงลูกของเราได้ เราก็มีลูกมีเต้าของเราขึ้นมา ศาสนาก็มั่นคงอย่างนี้ไง

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหลักใจของเรามันมี ความสงัดของใจ จิตสงบเพราะว่ามันสงบอย่างนี้ มันก็เป็นเด็กโตขึ้นมา มีวิชาการขึ้นมาเห็นไหม เราสามารถทำความสงบขึ้นมา เราสามารถน้อมใจออกไปวิปัสสนาขึ้นมา มันก็เป็นวิชาการไง มันเป็นวิชาขึ้นมาที่ว่าเขาทำสัมมาอาชีวะกัน เห็นไหม เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบจากการเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่คือสัมมาอาชีวะ

แล้วเวลามรรคมันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากหัวใจ มรรคมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ วิชาการของใจ วิชาการของศาสนา ความสำคัญของเราเกิดตรงนี้ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็นวันสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่อาสวักขยญาณ “ถ้าวันนี้ตัดกิเลสไม่ได้ จะไม่ยอมลุกขึ้นจากโคนต้นไม้เลย จะไม่ยอมลุกจากโคนต้นโพธิ์นี้เลย” นั่งตลอด เราต้องถึงที่สุดให้ได้ แล้วอาสวักขยญาณเกิดจากหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เกิดขึ้นมาวิชชา ๓ สิ่งที่เข้าไปทำลายกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำคัญอย่างนี้ไง เกิดอย่างนี้ เกิดในธรรม เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาในโลกเห็นไหม ขณะเกิดมาแล้วยังบอกว่า “เราจะเกิดเป็นชาติสุดท้าย”

แล้วเกิดในชาติสุดท้าย ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ มันสุดท้ายแต่คำพูดนะ พูดว่าชาติสุดท้ายเพราะเด็กเห็นไหม เกิดมานะเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งวาจาเลย “เราจะเกิดมาในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แล้วมันจะเป็นจริงอย่างนั้นไหมล่ะ ถ้าไม่ได้มาตรัสรู้ มันจะเป็นชาติสุดท้ายได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ตรัสรู้มันก็เกิดอีกเพราะในวัฏฏะ

แต่เพราะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ต่างหากล่ะ เวลามารมันตายไปจากใจแล้ว มันจะเกิดอีกไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดอีก เพราะอะไร เพราะความสว่างกระจ่างแจ้ง มันทำอวิชชาออกไปจากหัวใจทั้งหมด

สิ่งนี้ต่างหากเป็นคุณสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้วางธรรมและวินัย วันสำคัญทางศาสนา เพราะวางศาสนาไว้ให้อีก ๕,๐๐๐ ปี แล้วเราเกิดมาท่ามกลางกึ่งพุทธกาล กึ่งนี้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง แล้วเรามีความศรัทธามีความเชื่อ มีความฝักใฝ่ ความฝักใฝ่งานของเราเห็นไหม ในสมาธิ ในทางจงกรม มันหน้าที่ของพระ หน้าที่ของพระคือการภาวนา

สิ่งต่างๆ ที่เราทำกันอยู่นี้ สิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำมาเพื่อหมู่คณะ เห็นไหม เพื่อสังฆะ เพื่อหมู่สงฆ์ เพื่อที่ประพฤติปฏิบัติ คนเขาทำงานกันเขาต้องมีออฟฟิศ มีสถานที่ พระก็เหมือนกัน ทำงานก็ต้องการทางจงกรม ต้องการนั่งสมาธิภาวนา มันต้องการที่สงบสงัด ถ้ามันเป็นไปได้เราก็หาสิ่งนั้น เห็นไหม นกยังมีรวงมีรัง คนยังมีบ้านมีเรือน คนมีบ้านกับคนไม่มีบ้าน คนไม่มีบ้านเขาเช่าอยู่อาศัยกันไป นี่ของเรา ทางจงกรมมันเป็นสถานที่ทำงาน เราจะหาอย่างนั้น นี่มันเป็นงานภายนอกนะ

งานภายนอกมันแสวงหา มันเป็นไปได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่งานภายใน งานของเรา งานความสำคัญทางศาสนา ในความสำคัญทางหัวใจ ความสำคัญในทางการชำระกิเลสเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ของเราโดยตรง แล้วไม่มีใครเห็นนะ ไม่มีใครเห็นกับเรา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นเรื่องของหัวใจ

แต่มันรู้ได้! รู้ได้!! รู้ไม่ได้ได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นการแสดงออกมาจากใจ ถ้าใจมันมีกิเลสแสดงออกด้วยกิเลส จะมีความดีขนาดไหน จะมีสิ่งการแสดงออกขนาดไหน มันมีซ่อนเร้นมาทั้งนั้น กิเลสในหัวใจมันซ่อนเร้นมา มันเป็นสิ่งที่นอนเนื่องมากับใจ

ในเมื่อการแสดงออก การแสดงออกสิ่งนี้เป็นความถูกต้องทั้งหมด แต่มันมีกิเลสอยู่ มันมีเล่ห์เหลี่ยมของมันออกมาโดยกิเลส มันนอนเนื่องมากับความรู้สึกอันนั้นเห็นไหม แล้วสิ่งที่เป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมมาจากไหน ถ้าเป็นธรรม มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ออกมานะ มันเป็นสัจจะความจริงของเขา

สัจจะความจริงของธรรม สัจจะความจริงเวลาสื่อสารมัน ดูสิ ดูสิ่งที่สื่อสาร สิ่งที่ไม่มีพิษมีภัยเขาใช้กันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม ดูสิ่งที่มันเจือปนไปด้วยสารพิษสิ มันมีโทษทั้งนั้น เสพเข้าไปในร่างกายมันจะมีโทษเลย

แต่ถ้ามันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของเขา มันใช้เป็นประโยชน์อย่างไรมันก็ไม่มีโทษ เว้นไว้แต่คนใช้ไม่เป็น ใช้เกินกว่าเหตุ ใช้มากเกินไป ใช้มากมันก็สะสม นั่นมันเป็นคนใช้ไม่เป็น แต่สิ่งที่มันเป็นสัจจะความจริง มันเป็นเรื่องของใจเห็นไหม มันเป็นสัจจะความจริง นี่มันเรื่องของธรรมเป็นสภาวะอย่างนั้น ถ้าใจเป็นธรรม แล้วใจเป็นธรรมมันจะเป็นได้อย่างไร ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม

เกิดมาในศาสนา ถ้ามันมีความสำคัญนะ ความสำคัญจากศาสนา ความสำคัญจากเราเห็นไหม บุคลากรในศาสนา ถ้าบุคลากรในศาสนาเป็นผู้สืบต่อเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลย ศาสนาเจริญๆ ถ้าเจริญก็ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเสื่อมก็เสื่อมจากภิกษุนี้ ภิกษุนี้ทำศาสนาเสื่อม ไม่มีใครทำศาสนาเสื่อมได้ ถ้าไม่มีภิกษุเรานี้ทำศาสนาเสื่อมกันเอง เสื่อมจากไหนล่ะ ก็เสื่อมจากความรู้สึก เสื่อมจากใจนี้

ถ้าใจมันไม่ได้อยู่ในธรรมวินัยเห็นไหม ใจมันไม่ยอมเชื่อสิ่งใดๆ เลย มันคิดแต่ความคิดของกิเลส มันจะเอาอะไรมามั่นคงล่ะ เพราะคำว่ากิเลสมันเป็นเรื่องส่วนประโยชน์กับศาสนา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะกิเลสมันเห็นแก่ตัว เพราะกิเลสมันคิดว่าสิ่งที่ความคิดไม่มีใครรู้ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะรู้ทันความคิดเรา กิเลสมันยอดเยี่ยมที่สุดในโลก แล้วมันก็ครอบคลุมในหัวใจของเรา มันยอดเยี่ยมที่สุด แต่ไม่มีใครรู้ทันกิเลสของเราเลย

กิเลสนี้มันอยู่ที่หัวใจของเรา ใครจะรู้สึกไปกว่าเราเห็นไหม มันสำคัญๆ ทางกิเลส สำคัญทางความคิดความชั่ว ความใฝ่ชั่ว กิเลสมันจะชั่วออกไปอย่างนั้น มันไม่เป็นสัจจะความจริงหรอก แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ ทำไปเถิดความดี ความดีคือดี! เห็นไหมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทำทานเห็นไหม สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ทำดีทิ้งเหว ความดีนะคือทิ้งเหวเลย มันเป็นความดีบริสุทธิ์ไง แต่ความดีเพื่อต้องการสิ่งตอบสนองความดี มันเป็นไปไม่ได้หรอก

นี่เหมือนกัน ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เห็นไหม สละชีวิต สละมา ๔ อสงไขยอย่างต่ำ ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยเห็นไหม ดูสิสิ่งที่สละมา สละออกไปใครจะรับรู้ด้วย แต่ใจดวงที่เป็นผู้สละ ใจที่เป็นผู้รับรู้ ใครจะมาบิดเบือน มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสัจจะความจริงในหัวใจอันนี้เห็นไหม

ความดีทิ้งเหวอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลเลย สิ่งที่เราทำกันอยู่นี้มันเป็นความดี ความดีของใคร? ความดีของใครล่ะ? ความดีของกิเลส ความดีของมารเห็นไหม ความดีของมัน ทำดีไม่ได้ดี ทำดีมหาศาลเลยไม่เห็นได้ดีเลย ก็มันมีเล่ห์เหลี่ยม มันมีความเห็นเข้าไป ความดีมันไม่สะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม มันเป็นเหมือนของที่ไม่มีประโยชน์ ของที่มีคุณค่าขนาดไหนแต่มันมีสารพิษ มันไม่มีประโยชน์ มันใช้ไม่ได้

ดูสิดูขยะพิษเห็นไหม หาที่ทิ้งกันนะ ตอนนี้ขยะทางเทคโนโลยี ไม่มีที่จะทิ้งนะ หาที่ทิ้งไม่ได้จนต้องจ้าง ขนาดจะทิ้งขยะยังต้องเสียเงินยังต้องจ้างเขาเลย เพราะไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครเขาอยากได้เลย สิ่งที่เป็นพิษ

แต่สิ่งที่เป็นธรรมล่ะ ดูสิ ดูทองคำบริสุทธิ์ ทองคำในดินเขาไปทำเหมืองกัน เขาต้องมาถลุงกันเห็นไหม เขาต้องมาทำความสะอาดขึ้นมานะ เขาเอามานะเขาต้องมีความทะนุถนอม ยิ่งเพชรนะ เขาได้มา เขาต้องเจียระไนของเขา โอ้ย กว่าจะได้เขาถนอมรักษา สิ่งนี้มีประโยชน์เห็นไหม เขาแย่งกันเขาชิงกัน นั่นเป็นวัตถุนะ

แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของเราล่ะ เป็นความคิดดีคิดชั่วในหัวใจล่ะ สิ่งที่เป็นความคิดดีทำไมมันไม่เกิดกับเราล่ะ สิ่งที่ความคิดชั่วทำไมมันถึงเกิดกับเรา แล้วความคิดชั่วเราไม่รู้ด้วยนะ เราคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีเห็นไหม ดูอีกาสิ มันขี้รดภูเขาทอง เพราะเราเกิดในศาสนานี้

วันนี้วันสำคัญทางศาสนานะ สหประชาชาติบอกว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก ตื่นเต้นกันดีใจกันมากเลย แล้วมันได้อะไรล่ะ? เหมือนเด็กๆ เห็นเขาชมหน่อยเดียวตื่นเต้นไปกับเขา แต่ตัวเองทำอะไร ตัวเองหมักหมมอยู่อย่างนี้ กิเลสในหัวใจหมักหมมเต็มหัวใจเลย ไม่เคยทำเลย ความจริงมันจะเกิด สันติภาพมันจะเกิด มันเกิดในหัวใจเราก่อนสิ

สันติภาพ ความเป็นภราดรภาพเกิดที่ไหน เกิดที่ใจดวงนี้ ใจของเรา ถ้าใจของเราเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม เป็นวันสำคัญของเรา ถ้าวันสำคัญของเราเกิดขึ้นมา เรารู้จริงเราเห็นจริงของเราขึ้นมา อย่างเริ่มต้นเลย ความมหัศจรรย์เกิดจากใจดวงนี้ แม้แต่สมาธิธรรม ความสงบของใจ ใจตื่นเต้นกับความสงบของใจดวงนี้มาก แล้วใจวิปัสสนาเกิดขึ้นมา ดูปัญญาเกิดขึ้นมาวิปัสสนาเกิดขึ้นมาเห็นไหม วิชาชีพเราเกิดขึ้นมา ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อน ตั้งแต่เป็นทางวิชาการมา แล้วเราศึกษาจนเป็นผลขึ้นมาเห็นไหม เป็นอกุปปธรรมขึ้นมา

อกุปปธรรมนะ ดูสิทางโลกเขา เขาให้ปริญญากัน ประสาทปริญญากัน ประสาทมาได้กระดาษใบเดียวนะ แล้วถ้าไม่ได้ทำงานไม่ได้ใช้ความคิดเลยนะ ไอ้ความคิดไอ้ความจำจะเสื่อมหายไปหมดเลย

แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมขึ้นมา ได้สิ่งที่มันเป็นอกุปปธรรมขึ้นมา มันจะเสื่อมไปไหน มันจะหายไปไหน มันเป็นสัจจะความจริงกับหัวใจนะ หัวใจอันนี้มันเป็นสัจจะความจริง หัวใจมันมีความรู้สึกตลอดเวลา แล้วถ้ากิเลสมันขาดออกไปจากใจแล้ว สิ่งนี้มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นธรรมแท้ๆ อยู่นี้ มันจะเสื่อมไปไหน มันจะลืมไปไหน กระดิกเมื่อไหร่พร้อมเมื่อนั้น โสดาบันก็โสดาบันตลอดไป สกิทาคามีก็สกิทาคามีตลอดไป อนาคามีก็อนาคามีตลอดไป อรหันต์ก็อรหันต์ตลอดไป ไม่มีเสื่อมสภาพ เสื่อมสภาพเป็นไปไม่ได้

แต่ทางวิชาการเขาทางโลกเขา เขาจะประสิทธิ์ประสาทวิชาการขนาดไหน เสื่อม!! เสื่อมทั้งนั้น ลืมทั้งนั้น ต้องพยายามทำสัมมนากันตลอดเวลา เพื่อจะให้ทางวิชาการเจริญรุ่งเรืองตลอดไป

เจริญไปไหนล่ะ? เจริญไปไหน? เจริญไปถ้าเอามาใช้ประโยชน์กับสังคมมันก็เป็นประโยชน์กับสังคม แต่ผลตอบแทนมา คือว่าต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตายไป ต่างคนต่างต้องตายไปโดยมือเปล่า แต่ถ้าความสำคัญทางศาสนา เขาว่า “พระไม่ทำอะไรกันเลย” พระฉันแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเงียบ แต่ถ้าหัวใจมันเกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์ขึ้นมาเห็นไหม สิ่งต่างๆ โลกร่มเย็นเป็นสุขนะ

ผู้มีศีลผู้มีธรรมอยู่ในสังคมใด สังคมนั้นจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุขเกิดทางไหน? เกิดจากฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล อากาศไม่มีการเป็นพิษเป็นภัยเห็นไหม ความเป็นพิษเป็นภัยเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราตาไม่เห็น ตาของมนุษย์ไม่เห็นมีอีกมหาศาลเลย ดูสิดูอย่างพญานาคเขาพ่นควันสิ่งต่างๆ สิ่งที่อากาศเป็นพิษ สิ่งอะไรต่างๆ สิ่งนี้เรามองไม่เห็นนะ แต่เราต้องใช้อยู่ เพราะอะไร เพราะอาหารกินอยู่ทุกวัน ลมหายใจหายใจเข้าออกตลอดเวลา ถ้าเกิดอากาศเป็นพิษ สิ่งนี้ร่างกายเราต้องเสียไป

เริ่มต้นจากถ้าใจเป็นธรรมแล้ว สิ่งรอบข้างมันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมานะ โลกเขาจะทุกข์ร้อนขนาดไหนมันเรื่องของเขานะ ถ้าใจของเราว่าง ใจของเราเป็นปกติ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เรามองด้วยธรรม สิ่งที่ธรรมมองด้วยกิเลสนะ มันจะจบสิ้นไม่ได้ จบสิ้นไม่ได้หรอก เพราะสิ่งนั้นมันจะสะเทือนใจก่อน เพราะอะไร เพราะเรามองเห็น มันเหมือนกับสิ่งที่ตอบสนองกัน มันจะมีค่าความรู้สึกต่างๆ กันไป

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ค่าความรู้สึกเขามี แต่ค่าของเรามันไม่มี มันตอบสนองกันไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลงกันไม่ได้ สิ่งสภาวะนั้นก็เป็นเรื่องของโลกเห็นไหม ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องของโลก แต่เรื่องธรรมมันคงที่เห็นไหม นี่อกุปปธรรม ความคงที่ของใจไง ใจมันคงที่ สภาวะแบบนั้นแต่รับรู้อยู่ เพราะอะไร

เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ความรู้สึกความสืบต่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังรับรู้สืบต่อกับใจดวงนี้ได้อยู่ แต่ใจดวงนี้ไม่มีคุณค่า ใจดวงนี้ไม่มีพลังตอบสนองกับโลกเขา แต่โลกเขามีตลอด เพราะอะไร เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณค่าของใจเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันเลย!!

ผูกไว้อันเดียวกันเลย ติดในหัวใจอันเดียวกัน มีผลตอบสนองเหมือนกัน แล้วถ้าเป็นผลดี ผลดีก็ยึดติดไว้เป็นความทุกข์ความสุข ไม่ต้องการพลัดพราก ถ้าเป็นความไม่พอใจความทุกข์ มันก็พยายามผลักไส

ผลักไสนะ แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นอำนาจของกรรม อำนาจของกรรมเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้ามันเป็นใจของเรา ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราจะเอามันขึ้นมาเห็นไหม มันมีวิชาการขึ้นมาอย่างนี้ ธรรมมันเกิดขึ้นมาในหัวใจเราอย่างนี้ รู้จักภาวะความเป็นไปของธรรมอย่างนี้

การแสดงออกเป็นการแสดงออกเก้อๆ เขินๆ นะ สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกๆ เรื่องของธรรมเป็นเรื่องของธรรมในหัวใจของเราเห็นไหม จากที่เป็นอีกามันขี้รดภูเขาทองนะ แต่ถ้าเป็นอีกาที่มันรู้จักเป็นประโยชน์นะ สิ่งที่เป็นสัตว์เห็นไหม ดูสิในสัตว์ป่าเห็นไหม มันขยายพันธุ์พืช มันดูแลรักษาสิ่งที่เป็นห่วงโซ่อาหาร ห่วงโซ่อาหารธรรมชาติของมัน มันกินมันทำเป็นเชื้อโรคจากสัตว์อย่างอื่นเห็นไหม มันตัดวงจร ตัดวงจรไม่ให้มันเกิดเห็นไหม

อย่างเช่นภูเขาทอง แล้วพืชพันธุ์มันจะเกิด มันจะเกิดบนภูเขามันทำลายภูเขาเห็นไหม แล้วสัตว์มันมากินมันมาทำลายของมัน มันไม่รู้เลยว่ามันทำความดีนะ ทั้งๆ ที่มันก็ดำรงชีวิตของมันเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจมันเป็นธรรมขึ้นมา มันไม่ขี้รด!! มันไม่ทำลาย!! มันถึงมีแต่ทำความเจริญรุ่งเรืองเห็นไหม ความเจริญ ความคงที่ ความที่ไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมสลายไปกับภูเขาทองนั้น

ธรรมวินัยก็เหมือนกันเห็นไหม วันสำคัญของศาสนา วันนี้วันสำคัญทางศาสนา เราต้องมีความสำคัญในตัวเราด้วย ถ้าเรามีความสำคัญในตัวเรา เราจะซึ้งมาก เหมือนทางวิชาการ ถ้าพูดถึงทางวิชาการเขา เขาเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นเชื้อโรค สิ่งใดที่ใช้ประโยชน์แล้ว มันจะทำให้สังคมนี้ปั่นป่วน จะทำให้ร่างกายเราเสียคุณภาพ เขาจะไม่ทำ เพราะเขารู้เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน พอใจมันรู้จักธรรม ใจมันรู้จักความเป็นไป มันจะเห็นสภาวะแบบนี้ไปทั้งหมดเลย ว่าจิตนะ วุฒิภาวะของจิต จิตที่เป็นจริตนิสัยมันเป็นมาต่างๆ กันอย่างนี้ แล้วสภาวะมันสืบต่ออย่างนี้ แล้วมาเจอสภาวะอย่างนี้เข้าไป มันจะให้ผล เห็นไหมดูสิ ดูอย่างครูบาอาจารย์ของเรา ในสังฆะ ในสังคมเห็นไหม ดูสิ ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้ารู้ถึงความกระทบ รู้ถึงว่าควรหรือไม่ควร ควรหรือไม่ควรนะ ต้องทำและไม่ต้องทำ เห็นไหม

แต่นี่ถ้ามันเป็นความรู้ของเรา มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นของเราไปหมดเลย แล้วสิ่งต่างๆ นี้มันมองสิ่งใดก็แล้วแต่มองในมุมมองเดียว มุมมองของโลก มุมมองของอัตตา มุมมองของความเห็นของเรา แต่พระอริยเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนั้นเลย สมควรหรือไม่สมควร ต้องหรือไม่ต้อง ทำหรือไม่ทำ ทำแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ มันมีคัตเอาท์อย่างนี้กี่ช่องทาง

ความนิ่งอยู่ นิ่งอยู่อย่างนี้ไง นิ่งอยู่เพราะมันไม่มีประโยชน์ พูดไปมันไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นมา มันไม่เกิดประโยชน์มันเกิดเป็นโทษขึ้นมาเห็นไหม ถ้าเกิดโทษขึ้นมา โทษมันเกิดจากไหนล่ะ แล้วใครเห็นโทษล่ะ โทษมันก็ไม่เห็น แต่เวลาผลเกิดขึ้นมามันตอบสนองมา เราจะรู้ไปหมดเลย สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ แต่มันก็สายไปทุกทีเลย

แต่ถ้าเป็นสติเห็นไหม สติมหาสติ สิ่งที่เป็นมหาสติเกิดขึ้นมา มันพร้อมกับจิตดวงนี้นะ จิตขยับออกไปมันพร้อมกับความรู้สึกออกไป เหมือนเราก้าวเดินไปเลย คนเดินแล้วหกล้ม ล้มลุกคลุกคลาน กับคนที่เดินสติมั่นคง ต่างกันไหม ต่างกัน นี่รูปธรรมนะ แต่ถ้าความเป็นไปของจิตมันไม่เป็นอย่างนั้นเลย เพราะมันไม่มีสิ่งใดที่เอามาเป็นประเด็นได้ เพราะใจมันปล่อยมาจากสัมมาอาชีวะ จากการเกิดมาเป็นมรรคญาณ เกิดขึ้นมาจากหัวใจ หัวใจมี่มันหมุนเข้ามาเห็นไหม สัจจะความจริงนี้มันจะหมุนเข้ามา

วันสำคัญ สำคัญที่นี่นะ ดูสิเราเกิดมาเป็นอะไร เป็นพระ ก. พระ ข. พระ ค. เกิดขึ้นมามีอุปัชฌาย์ บวชที่นั่นเวลาเท่านั้น นี่คือการบวชของเราเป็นสมมุตินะ ในธรรมและวินัยเห็นไหม แต่เวลาวิปัสสนาขึ้นไป ขณะที่จิตมันขาด ขณะที่จิตนี้มันขาด ขณะจิตที่มันเกิดขึ้นมา มันรู้ของมันหมดนะ ถ้ามันไม่รู้มันเป็นไปไม่ได้ พระอริยเจ้าเกิดขึ้นมา ขณะจิตที่มันคิดขึ้นมามันต้องรู้ของมันตลอดเวลา แล้วรู้ที่ไหน? รู้อย่างไร? เห็นไหมเป็นขั้นตอนขึ้นมาเลย จะที่นั่นๆ เพียงแต่ว่าจะพูดออกมาหรือไม่พูดออกมาเท่านั้น ถ้าพูดออกมาเห็นไหม พูดออกมาครูบาอาจารย์ได้ยินอย่างนั้น ได้ยินด้วยเหตุด้วยผล “เออ อย่างนี้ใช่” ถ้าพูดออกมาก็ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมกันเป็นมงคลเท่านั้นเอง

แต่ถ้าสัจจะความจริงเห็นไหม สัจจะความจริงคือใจของเรานี้ สันทิฏฐิโกอันนี้ แล้วเป็นความจริงไหม ถ้าเป็นความจริง จริงคือจริง จริงมันเข้ากับความจริงได้ทั้งหมด ถ้าไม่จริง ไม่จริงมันจริงของเรา แต่ไม่จริงของธรรม มันจริงของเรา ไปยึดมันอยู่ มันโลเล มันเป็นไปไม่ได้ มันเหมือนกับสอยช้างเข้ารู้เข็ม เข็มเขาเอาไว้สอยด้าย ด้ายกับเข็มมันเข้ากันได้ มันสอยเข้าไปเห็นไหม แล้วเอามาเย็บผ้ามันเป็นประโยชน์เอาช้างนะ เอาสิ่งต่างๆ ไปสอยเข้ารู้เข็ม มันจะเข้าได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก รูเข็มกับตัวช้าง

นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกของใจ มันยึดมั่นถือมั่นไปทั่วทั้ง โลกธาตุ แล้วสภาวธรรมมันจะเข้ากันมันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราว่าได้ เราว่าได้ นี่กิเลสมันเป็นอย่างนั้น กิเลสมันว่ามันได้ของมัน มันยึดมั่นถือมั่นของมัน เพราะมันเป็นนามธรรม มันเป็นนามธรรม มันเป็นไปได้หมด เรานึกเอาสิ นึกเอาช้างร้อยเข้าไปในรูเข็ม เรานึกเอา ช้างร้อยเข้าไปแล้ว เป็นไปแล้ว มันก็เป็นไปของมันเห็นไหม มันเป็นไปสภาวะแบบนี้ ถ้ามันไม่จริงมันเป็นอย่างนี้

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่ ธมฺมสากจฺฉา ออกมาเป็นธรรมะอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ว่ารูปแบบไง เป็นประเด็น เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นการสื่อออกมาจากความหมายของใจ ถ้าใจมันมีของมัน มันเห็นของมัน มันทำของมัน มันทำเป็นนี้ แล้วเวลาเราจะสื่อกัน มันเป็นสมมุติไง สมมุติบัญญัติขึ้นมาสื่อความหมายกัน

แต่ถ้าสมมุติบัญญัติเห็นไหม มันก็ยังผิด แล้วความจริงอันนั้นมันจะถูกได้อย่างไร? ถ้าความจริงอันนั้นมันถูก เราสมมุติบัญญัติมามันต้องถูก เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย สิ่งนี้มันสมมุติบัญญัติทั้งนั้น สิ่งที่พระไตรปิฎกมันเป็นวิธีการ มันเป็นสมมุติบัญญัติออกจากวิมุตติธรรม จากวิมุตติธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

สมมุติธรรมมันเกิดมาจากไหน!! สมมุติธรรมมันเกิดมาจากความรู้สึก เกิดมาใจ แล้วใจนี้เกิดมาจากไหน? ใจนี้เกิดมาจากมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เกิดมาจากปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา แล้วขณะที่จิตมันเกิดขึ้นมา มาตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ มันเกิดตรงนั้น มันเกิดตรงนั้น เกิดขณะที่จิตมรรคญาณมันเกิด อาสวักขยญาณมันเกิดทำลายตรงนั้นเห็นไหม ตรงนั้นมันเกิดตรงนั้น มันเข้าใจตรงนั้น ถ้าเกิดตรงนั้นปั๊บ มันก็หมุนเวียนมา หมุนเวียนมาจากการเทศนาว่าการ วางธรรมวินัยไว้สำหรับพวกเรา

พวกเราเวลาศรัทธานะ ศรัทธาความเชื่อ วันนี้วันวิสาขะนะ เราเกิดมาเห็นไหม เช้า สาย บ่าย เย็น นี่ก็เหมือนชีวิตเรานะ เด็ก วัยรุ่น ขึ้นมาแล้วบวชพระเห็นไหม พระเด็กๆ ก็พระพรรษาน้อยๆ พรรษามากขึ้นมาเห็นไหม เราจะเติบไปข้างหน้านะ เราจะต้องเป็นผู้ใหญ่ไปข้างหน้า ถ้าเราจะเป็นผู้ใหญ่ไปข้างหน้า เราจะมีอะไรเป็นผู้ใหญ่ล่ะ เห็นไหม อาวุโส ภันเต ถ้าอาวุโส ภันเต ถ้ามีคุณธรรม เข้าวัดเขากราบไหว้กันทั้งนั้น ร้อยพรรษาหมื่นพรรษาด้วย

แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม หรือทำออกมาให้เด็กเล็กๆ มันไม่เคารพนะ พระเล็กน้อยก็ไม่เคารพมันก็เท่านั้น แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน แต่ธรรมวินัยมีบังคับไว้ เราก็กราบธรรมวินัยกัน ไม่ได้กราบบุคคลคนนั้น ไม่ได้กราบพระองค์นั้น กราบธรรมและวินัย เพราะเราเชื่อมั่นในธรรมและวินัย

เราเป็นสาวก สาวกะ เราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศรัทธาและมีความเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลคนนั้นจะคิดอย่างไร จะทำอย่างไร มันเรื่องของเขา เรื่องของเรา เราเชื่อธรรมและวินัย แล้วเราพยายามทำตัวเราให้อยู่ในธรรมและวินัย

สิ่งนี้เป็นพาหนะเครื่องดำเนิน ถ้าทำเห็นไหม ถ้าศีลบริสุทธิ์จะทำปฏิบัติขึ้นมาเกิดสัมมาสมาธิ สมาธิที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง สมาธิที่บริสุทธิ์เป็นฐาน เป็นบาทเป็นฐานให้เกิดปัญญา ปัญญาของเราจะย้อนกลับมา ปัญญานะ แล้วถ้าเกิดจากสติเราเป็นฐาน แล้วเราไม่ฝึกฝนนะ ให้อีกกี่ร้อยชาติปัญญามันก็ไม่เกิด

ปัญญามันจะเกิดนะ ถ้ามันเป็นส้มหล่น มันเกิดเป็นครั้งเป็นคราว เกิดเป็นครั้งเป็นคราวอย่างนั้น อำนาจวาสนาเรามันจะเป็นสมุจเฉทปหานเชียวหรือ มันก็ต้องหมั่นฝึกฝนเห็นไหม แก่นแท้ของกิเลสอยู่ที่ใจ หมั่นฝึกฝนหมั่นทำลายไปบ่อยครั้งเข้า การฝึกฝนการทำลายเห็นไหม ดูนักกีฬาสิ กว่าเขาจะได้เหรียญทองกัน เขาแข่งขันกันต้องฝึกฝนกันขนาดไหน เดี๋ยวนี้เขาฝึกกันตั้งแต่เด็กๆ เลยเห็นไหม ๓ ขวบ ๔ ขวบ เอามาฝึกกีฬาอาชีพ เขาเริ่มกันแล้ว

แล้วของเราเราฝึกฝนขึ้นมา พยายามทำจิตใจขึ้นมา แล้วการกีฬาของเรามันเป็นการกีฬาแข่งกับมารนะ แข่งกับมารแข่งกับวัฏฏะ เขาได้เหรียญทองกันนะ แต่เราได้การไม่เกิดและไม่ตาย การได้การไม่เกิดและไม่ตาย กิเลสมันตายต่อหน้า ถ้ากิเลสมันตายต่อหน้าแล้วมันบอกใครได้ล่ะ? มันเป็นสมบัติภายในเห็นไหม สิ่งที่เป็นสมบัติจากหัวใจ สมบัติจากภายใน มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโกจากหัวใจดวงนั้น

อุชุ ญายะ สามีจิ เราปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเห็นไหม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันเป็นสังฆะ เป็นบุคคล ๘ จำพวกที่สังคมเขากราบไหว้บูชากัน เขาหวังที่พึ่ง หวังเป็นผู้นำ หวังเป็นผู้ชี้ทาง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาต้องการสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วเราจะทำประโยชน์กับเรา

วันวิสาขบูชา อย่าให้เป็นวันสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว ต้องให้เป็นวันสำคัญของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติด้วย ให้มีความสำคัญกับเรา ให้มีใจของเราเป็นธรรม ถ้าใจของเราเป็นธรรมนะ มันจะเกิดขึ้นมาจากเรานะ แล้วเราจะเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เห็นไหม เป็นที่พึ่งอาศัยนะ ใจนี้จะพ้นจากกิเลส ใจนี้จะมีคุณธรรมขึ้นมา แล้วมันจะเป็นที่พึ่งของหมู่คณะ ที่พึ่งของทุกๆ คน ที่พึ่งของวัฏฏะนะ

เทวดา อินทร์ พรหม เขากล่าวสรรเสริญ เขาพร้อมที่จะบูชานะ พร้อมที่จะบูชาจิตที่พ้นทุกข์ จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่พ้นจากกิเลส สิ่งที่พ้นจากกิเลสสิ่งที่มัวหมอง สิ่งที่เป็นกิเลสสิ่งที่เป็นความเศร้าหมองในใจ เรื่องของกิเลสทั้งนั้น เราต้องฝืน การกระทำคือฝืนกิเลส แต่เราไม่ได้คิดว่าจะฝืนกิเลสไง

ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลส มันเสียเล่ห์เหลี่ยมเสียศักดิ์ศรี จะเอาสะดวกจะเอาสบาย จะเอาปัญญาวิธีการเห็นไหม ปฏิบัตินี่ต้องนอนบนพรมเลย ปฏิบัตินี่ต้องอยู่บนฟากฟ้าเลย ไอ้คนทุกข์คนยากคือพวกกรรมกรแบกหาม ไอ้เรานี้ปัญญาชน ปฏิบัติมานี้ มาจากเทวดา มาภาวนานี้เดินบนอากาศเลย

กิเลสทั้งนั้น! กิเลสทั้งนั้นเลย มันอยู่ที่การกระทำทั้งนั้น ฝืนใจนี่แหละ มันไม่ชอบอะไรฝืนมัน มันไม่อยากทำอะไร.. ทำ!! มันจะไม่ยอมทำ.. ทำ!! ฝืนกิเลส ฝืนตัวนี้ ฝืนความคิด ฝืนสิ่งที่ไม่ยอมกระทำ นี่สุดยอด!!

ไม่ต้องไปคิดอะไรมาเป็นเทคโนโลยีเพื่อบรรเทาหรอก อู้ย ธรรมปฏิบัติอย่างนั้น เดินบนยอดไม้เลย นี่คือปัญญาชน มันชนกับอะไรล่ะ? มันจะโดนกิเลสชนต่างหาก เห็นไหม เราต้องฝืนกิเลส ไม่อยากทำ.. ทำ

มรรค ๘ นะ ปฏิบัติชอบ งานชอบ เพียรชอบ การกระทำที่ชอบมันจะขัดเกลากิเลส สิ่งต่างๆ เห็นไหม ธุดงควัตร การดำรงชีวิตของเราธรรมวินัยมันจะขัดเกลากิเลสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตากรุณานะ พยายามรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ แล้ววางศาสนาไว้ อยากจะรื้อให้พวกเราไป แล้ววางเครื่องมือไว้ แต่เราไปปฏิเสธ ไปเอาเครื่องมือของมารมาใช้ โอ้ย...ปฏิบัติล้าสมัย โอ้ย ปฏิบัติต้องอยู่บนจรวดดาวเทียมเลยล่ะ โอ้ย อยู่บนดวงพระจันทร์โน่น

นี่ปัญญานะ ปัญญากิเลสทั้งนั้น แล้วเอามาปฏิบัติกัน หัวคะมำคว่ำคะเมนไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าความฝืนกิเลสนะ ฝืนกับเรา ทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนานะ มันจะเป็นงานดึกดำบรรพ์ขนาดไหน พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาทำอย่างนี้ พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้อย่างนี้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ องค์ก็จะเป็นอย่างนี้ แต่เราให้กิเลสมันชักไป ชักออกไปว่าฉันนี้ปัญญาชน ฉันนี้เป็นผู้สุดยอด ฉันมีความคิดแปลกๆ ฉันมีความคิดทันสมัย ทันสมัยของกิเลสไง

แต่ถ้าทันสมัยของธรรมนะ ฝืนกิเลส ไม่อยากให้ไป.. ไม่ไป อยากจะกิน.. ไม่กิน อยากจะทำ.. ไม่ทำ ฝืนมันตลอดไป พอมันเบาตัวลงนะ เราจะเห็นคุณค่าของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย โอ้โฮ ถ้าเราทำตามไปอย่างนั้นนะ จิตใจมันจะด้าน มันจะสะดวกสบาย มันจะแตกลายงาเลย กิเลสแตกลายงาในหัวใจจะทุกข์ยากมาก แล้วเราพยายามฝืนมัน ฝืนมันจนมันจิตผ่องใสเห็นไหม ฝืนจนจิตมันสงบ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยกิเลส จิตเดิมแท้นี้จะเป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

มันเกิดมาจากไหนล่ะ? มันก็เกิดมาจากการฝืนไง การฝืนนี้เป็นพวกกรรมกรแบกหาม เป็นพวกไอ้ถ่อย ทำไม่เป็น กิเลสมันต้องทำบนยอดไม้ กิเลสมันต้องทำในห้องแอร์ กิเลสมันต้องทำแบบปัญญาชนของมันนะ นั่นแหละมันจะพากันไปตาย!!

แต่ถ้ามันเป็นธรรมะนะ มันจะฝืนอย่างนี้ มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ ความจริงนี้แหละ คนเรากินแล้วก็ถ่าย ปฏิบัติก็ปฏิบัติ นี่ก้นนั่งสมาธิ ฝ่าเท้าเดินจงกรม นี่ทำอย่างนี้แหละ แล้วมันจะพ้นกิเลส เอวัง